RSS

หลบอากาศร้อนๆๆ...เที่ยวสวิตเซอร์แลนด์กันดีกว่า

สวิตเซอร์แลนด์
        ดินแดนในฝันของใครหลายๆ คน ที่คาดหมายไว้ว่าไม่วันใดวันหนึ่งจะต้องไปเที่ยวให้ได้
ประเทศเล็กๆ แห่งนี้ ได้เปรียบ ประเทศอื่นๆ ในยุโรปไม่น้อยในเชิงการท่องเที่ยว เพราะความหลากหลายของภูมิประเทศ ทิวทัศน์ วัฒนธรรม ดินฟ้าอากาศ และอาหารการกิน เนื่องจากมีหลายเผ่าพันธุ์ในแถบเทือกเขาแอลป์รวมตัวกัน เป็นสมาพันธรัฐสวิตเซอร์แลนด์เมื่อ 700 กว่าปีที่ผ่านมา
ประชากร 6.9 ล้านคน
เมืองหลวง เบิร์น (เมืองมรดกโลก) ภาษา สื่อสารกันได้ถึง 4 ภาษา แบ่งการใช้ภาษาตามภูมิภาคที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้าน คือ ภาษาเยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาเลียน และอังกฤษ
อุณหภูมิ แต่ละพื้นที่แตกต่างกันราว 5 องศาเซลเซียสต่อความสูง 100 เมตร ที่ราบสูงตอนเหนืออากาศเย็นสดชื่นล้อมรอบด้วยเทือกเขา ตอนใต้ของเทือกเขาแอลป์ลงมาอากาศอบอุ่นสบาย ควรเตรียมเสื้อกันหนาวให้เพียงพอเป็น
สิ่งที่จำเป็นมาก
เวลา ช้ากว่าประเทศไทย 5 ชั่วโมง
เงินตรา 1 ฟรังก์สวิส ประมาณ 29 บาท (สิงหาคม 2550)
บัตรเครดิต ใช้ได้เกือบทุกที่
รหัสโทรศัพท์ +41
รหัสอินเทอร์เน็ต .ch
น้ำประปา ดื่มได้คุณภาพและความสะอาดเทียบได้กับน้ำแร่ที่บรรจุในขวด
ทิป ปกติจะรวมอยู่ในค่าโรงแรม และอาหาร ค่ายกกระเป๋าถือเป็นบริการพิเศษ อัตรา
ทั่วไป คือ ทิป 2 ฟรังก์/กระเป๋าหนึ่งใบ
ความปลอดภัย เป็นประเทศที่สงบ ปัญหาโจรผู้ร้ายมีน้อยมากแต่ก็ควรระมัดระวัง โดยเฉพาะบริเวณสนามบินและสถานีรถไฟใหญ่ๆ ที่มีผู้คนพลุกพล่าน นักล้วงกระเป๋ามีอยู่ทั่วไปในยุโรป และไม่ควรเดินคนเดียวบนถนนที่เปลี่ยว

สถานที่ท่องเที่ยวที่พลาดไม่ได้
1.เมืองลูเซิร์น เมืองที่ประทับของสมเด็จย่าและพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสำเร็จการศึกษาจากเมืองนี้ เป็นเมืองตากอากาศสุดฮอต ที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบใหญ่ที่ชื่อว่า “เวียวาลด์ สแตร์ทเตอร์” มีอนุสาวรีย์สิงโตแกะสลักริมหน้าผาสัญลักษณ์แห่งความกล้าหาญ มีร้านขายนาฬิกาชื่อดังหลายแห่งในย่านช็อปปิ้ง
2. กรุงเบิร์น มรดกโลกอันล้ำค่าที่ถ่ายทอดและอนุรักษ์มาสู่ปัจจุบัน เที่ยวชมเมืองชมหอนาฬิกา ชมโบสถ์ และย่านเมืองเก่า
3. นครเจนีวา นครแห่งความงาม ตั้งอยู่ริมทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปกลาง (ลัคเลอมังค์) เป็นประตูสู่เทือกเขาแอลป์ มีนาฬิกาดอกไม้ริมทะเลสาบและน้ำพุ เป็นสัญลักษณ์ของเมือง



ลูเซิร์น - Lucerne อดีตหัวเมืองโบราณของสวิสเซอร์แลนด์ สวิสเซอร์แลนด์ เป็นดินแดนที่ได้รับสมญานามว่า “หลังคาแห่งทวีปยุโรป” (The roof of Europe) เพราะนอกจากจะมีเทือกเขาสูงเสียดฟ้าอย่างเทือกเขาแอลป์แล้ว ก็ยังมีภูเขาใหญ่น้อยสลับกับป่าไม้ที่แทรกตัวอยู่ตามเนินเขาและไหล่เขา สลับแซมด้วยดงดอกไม้ป่าและทุ่งหญ้าอันเขียวชอุ่ม สำหรับเลี้ยงสัตว์

ลูเซิร์น เป็นเมืองที่อยู่เกือบใจกลางประเทศ โดยตั้งอยู่ฝั่งค้านตะวันตกเฉียงเหนือของทะเลสาบลูเซิร์น ที่มีชื่อเรียกว่า ทะเลสาบสี่แคว้นแดนป่าไม้ (Lake of the four forest cantons) ตรงบริเวณปากแม่น้ำรอยซ์ (Reuss river)
ลูเซิร์น เมืองที่คนไทยคุ้นเคย
ลูเซิร์น เป็นเมืองที่คุ้นเคยดีสำหรับคนไทยและชาวเอเชีย คนไทยถ้าไปเที่ยวสวิสต้องไปที่เมืองนี้ เพื่อชมประติมากรรมแกะสลักสิงโตหินบนหน้าผา
ที่ขาดไม่ได้ก็คือ สะพานไม้คาเปล (Kapelbruck หรือ Chapelbridge) อายุกว่า 600 ปี ตั้งอยู่ริมทะเลสาบทอดข้ามแม่น้ำรอยส์ ตลอดสะพานประดับด้วยภาพเขียนที่บอกเล่าถึงประวัติศาสตร์ของประเทศได้เป็นอย่างดี
สะพานไม้แห่งนี้เคยถูกไฟไหม้เสียหายมากในปี 1993 แม้บางส่วนจะถูกไฟไหม้และได้รับการบูรณะจนสวยงามเป็นสัญลักษณ์ของลูเซิร์น
ความงามที่แท้จริงของลูเซิร์น อยู่ที่การได้ล่องเรือไปตามทะเลสาบที่มีเมืองเล็กสวยงามบนฝั่งทะเลสาบเวียวาลด์ สแตร์ทเตอร์ ก่อนแวะไปสัมผัสความสูง 3,020 เมตร กระเช้าหมุนรอบตัว ชมความสวยงามของเทือกเขาแอลป์ และสนุกคลุกเคล้ากับการเล่นหิมะ หรือเดินผ่านเข้าไปจับแผ่นน้ำแข็งในถ้ำน้ำแข็งเบื้องบนของยอดเขา บนยอดเขาทิตลิสนี้ มีน้ำแข็งปกคลุมตลอดทั้งปี

ลุยหิมะต้องไปสวิส...
ไปสัมผัสหิมะ เล่นสกี ท่ามกลางอากาศหนาวสุดๆ บนยอดเขาในสวิตเซอร์แลนด์ ท่ามกลางทิวทัศน์อันงดงามบนยอดเขาที่สูงที่สุดของยุโรป
ยอดเขาจุงเฟรา มีจุดชมวิวที่สูงที่สุดในยุโรปแห่งนี้ มองเห็นได้กว้างไกลที่สุด ณ จุด 3,571 เมตร มีถ้ำน้ำแข็งที่แกะสลักให้สวยงามอยู่ใต้ธารน้ำแข็ง 30 เมตร สัมผัสกับภาพของธารน้ำแข็งที่ยาวที่สุดในเทือกเขาแอลป์ ยาวถึง 22 กิโลเมตร และหนา 700 เมตรโดยไม่เคยละลาย
บนยอดเขา ออกไปสัมผัสความหนาวเย็นสุดๆ บนหิมะได้ ณ ลานสกีกว้าง มีสโนบอร์ด สุนัขลากเลื่อนให้เล่นหรือเพิ่มประสบการณ์กับจานหิมะ
อีกแห่งคือ ยอดเขาทิตลิส ที่ลูเซิร์น มีกระเช้าขนาดใหญ่ที่หมุนรอบตัวเองได้ถึง 360 องศา นำขึ้นสู่ยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะตลอดปี เหนือระดับน้ำทะเล 10,000 เมตร ท่ามกลางความงดงามของ เทือกเขาแอลป์ มีอุโมงค์ สะพาน หุบเหว สวิสแกรนด์แคนยอน และหุบเขาที่สูงกว่า 2,000 เมตร ตลอดเส้นทางมียอดเขาที่ปกคลุมด้วยธารน้ำแข็ง ตามเส้นทางที่เดินทางผ่านกลางเทือกเขาแอลป์
อย่าลืมใส่เสื้อแดงไว้คลุกเล่นสนุกกับหิมะสีขาวถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก ใส่เสื้อสีแดงจะได้เห็นชัดเจน เป็นคำบอกเล่าต่อๆ กันมา ในกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทย
จะลุยหิมะต้องไปสวิส...


ผู้เขียนบล็อก: paemmy
อ้างอิงจากเว็บไซต์
ท่องเที่ยว&เดินทาง http://www.marketatnation.com/country/switzerland.html
http://www.abroad-tour.com/switzerland/lucerne/
http://www.oknation.net/blog/drpichai/2009/01/15/entry-1
http://news.thaieurope.net/content/view/736/128/

เพลงสากลความหมายดีที่อยากให้ฟัง

 a little too not over you- David Archuleta



It never crossed my mind at all.
ฉันไม่เคยลืมเลือนมันได้เลย

It's what I tell myself.
นั่นคือสิ่งที่ฉันบอกตัวเอง

What we had has come and gone.
สิ่งที่เราเคยมีนั้นแค่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป


You're better off with someone else.
เธอคบกับคนอื่นดีกว่า(ฉัน)


It's for the best, I know it is.
มันคือสิ่งที่ดีที่สุด ฉันรู้ว่ามันใช่


But I see you.
แต่เวลาที่ฉันเห็นเธอ


Sometimes I try to hide
บางครั้งฉันก็พยายามที่จะเก็บซ่อน

What I feel inside,
สิ่งที่ฉันรู้สึกไว้ข้างใน

And I turn around.
และเมื่อฉันหันกลับไป

You're with him now.
เธอก็อยู่กับเขาแล้วในตอนนี้

I just can't figure it out.
ฉันคิดไม่ออกเลยจริงๆ

Tell me why it's so hard to forget.
บอกฉันหน่อยสิทำไม เธอนั่นถึงได้ลืมยากจริงๆ

Don't remind me, I'm not over it.
อย่ามาคอยย้ำเตือนฉัน,ฉันยังไม่ลืมมัน

Tell me why I can't seem to face the truth.
บอกฉันหน่อย ทำไมฉันจึงไม่สามารถเผชิญกับความจริงได้

I'm just a little too not over you.
ฉันก็แค่ยังลืมเธอไม่ได้
Not over you....
ลืมเธอไม่ได้

Memories, supposed to fade.
ความทรงจำ, สมควรที่จะเลือนหายไป

What's wrong with my heart?
มันเกิดอะไรขึ้นกับหัวใจของฉัน

Shake it off, let it go.
สลัดมันออกไป, ลืมมันซะ

Didn't think it'd be this hard.
ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่ามันจะยากขนาดนี้

Should be strong, movin' on.
ฉันสมควรที่จะเข้มแข็ง, เดินต่อไป

But I see you.
แต่เวลาที่ฉันเห็นเธอ

Sometimes I try to hide
บางครั้งฉันก็พยายามที่จะเก็บซ่อน

What I feel inside.
สิ่งที่ฉันรู้สึกไว้ข้างใน

And I turn around,
และเมื่อฉันหันกลับไป

You're with him now.
เธอก็อยู่กับเขาแล้วในตอนนี้

I just can't figure it out.
ฉันคิดไม่ออกเลยจริงๆ

Tell me why it's so hard to forget.
บอกฉันหน่อยสิ ทำไมเธอนั้นถึงได้ลืมยากจริงๆ

Don't remind me, I'm not over it.
อย่ามาคอยยำเตือนฉัน, ฉันยังไม่ลืมมัน

Tell me why I can't seem to face the truth.
บอกฉันหน่อยทำไมฉันจริงไม่สามารถเผชิญความจริงได้

I'm just a little too not over you.
ฉันก็แค่ยังลืมเธอไม่ได้

Maybe I regret everything I said,
ฉันอาจจะรู้สึกเสียใจ กับทุกสิ่งที่ฉันได้พูดไป

No way to take it all back, yeah...
แต่ไม่มีทางที่ฉันจะถอนคำพูดหรอก

Now I'm on my own..
ตอนนี้ฉันอยู่คนเดียว

How I let you go, I'll never understand.
ฉันปล่อยเธอไปได้ยังไง, ฉันไม่มีวันเข้าใจเลย

I'll never understand, yeah, oohh..
ฉันไม่มีวันเข้าใจอะไรได้เลย




ผู้เขียนบล็อก: paemmy
อ้างอิงจากเว็บไซต์
http://www.youtube.com/watch?v=_LJ252wOllA
http://www.youtube.com/watch?v=mg7-PLQ7-sU&feature=related
http://www.suthatsunday.com/forum/index.php?topic=1127.0
http://www.educatepark.com/english-songs/a-little-too-not-over-you-david-archuleta.php?id=901&sf=

แนะนำตัว

น.ส.สุชาวดี   ศรีเมือง
ชื่อเล่น แป๋ม
สาขาเทคโนโลยีชีวภาพ
คณะเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม


หมู่เกาะกาลาปากอสดินแดนที่น่าพิศวง

หมู่เกาะกาลาปากอสดินแดนที่น่าพิศวง



กาลาปากอส คือหมู่เกาะที่ประกอบไปด้วย 19 เกาะใหญ่ และ 42 เกาะเล็ก ตั้งอยู่บริเวณเส้นศูนย์สูตร ห่างจากชายฝั่งของประเทศเอกัวดอร์ ไปทางทิศตะวันตก 965 กิโลเมตร ด้วยลักษณะพื้นผิวที่เป็นหินแข็ง ตั้งแต่เมื่อกว่า 3 ล้านปีก่อน ซึ่งทำให้เกาะแห่งนี้ ยังมีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพต่อเนื่องมาโดยตลอด และยังส่งผลสัมพันธ์ไปถึงการดำรงชีวิตของสัตว์นานาชนิด ที่อาศัยอยู่บนเกาะแห่งนี้ มาตั้งแต่ยุคแรก ท่ามกลางความโหดร้ายทางธรรมชาติของโลก ทำให้สัตว์เหล่านี้ มีลักษณะของความทนทานในการปรับตัว และวิวัฒนาการเพื่อมีชีวิตอยู่รอดบนเกาะที่โดดเดี่ยวแห่งนี้
ความเร้นลับมหัศจรรย์ และปริศนาแห่งสายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตนานาชนิด ที่สืบเนื่องมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ คือเสน่ห์และความท้าทาย ที่ดึงดูดให้ทีมนักวิทยาศาสตร์จากทั่วโลก กาลาปากอส บันทึกบทใหม่ของการเดินทางสำรวจหมู่เกาะ และสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัวบนเกาะแห่งนี้ จากทีมนักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านชีววิทยา และอีกครั้งกับประสบการณ์ไอแมกซ์ 3 มิติครั้งใหม่ ที่จะถ่ายทอดภาพความมหัศจรรย์ ทุกแง่มุมของหมู่เกาะกาลาปากอส เหนือห้วงอากาศ บนพื้นดิน และดำดิ่งลงสู่ก้นมหาสมุทร พบกับสัตว์หลากหลายสายพันธุ์ที่ถือกำเนิด และวิวัฒนาการดำรงชีวิตมา ตั้งแต่เมื่อหลายล้านปีก่อนจนถึงปัจจุบัน

กาลาปากอส เต็มไปด้วยความเขียวชอุ่มและชุ่มชื้น ของมวลพืชนานาพันธุ์ ณ ดินแดนของหมู่เกาะแห่งนี้ แวดล้อมไปด้วยสิ่งมีชีวิตรูปร่างประหลาด ที่ไม่สามารถพบได้ในที่ใดของโลก ไม่ว่าจะเป็นเต่ายักษ์กาลาปากอส สัตว์เลื้อยคลานดึกดำบรรพ์ ที่ดำรงชีวิตมาอย่างยาวนาน จนกลายเป็นเอกลักษณ์ของหมู่เกาะแห่งนี้ รวมไปถึงอีกัวน่า กิ้งก่ายักษ์ที่กลายมาเป็นสัตว์เลี้ยงยอดนิยม สิงโตทะเลและลูกๆ แสนซุกซนของมัน ที่เล่นน้ำในแอ่งกันอย่างสนุกสนาน รวมทั้งนกรูปร่างประหลาดนานาชนิด















จากพื้นดินสู่ห้วงน้ำ กาลาปากอส จะพาคุณดำดิ่ง ลงไปสัมผัสกับสิ่งมีชีวิตน้อยใหญ่นานาพันธุ์ ที่อยู่ใต้มหาสมุทรแปซิฟิค รอบๆ หมู่เกาะแห่งนี้ นับตั้งแต่หมู่ปลาไหลทะเลช่างสงสัย ที่ปรากฏตัวออกมาจากถ้ำใกล้ปล่องลาวาใต้น้ำ ฝูงปลาฉลามที่อ้าปากเผยเขี้ยวคมกริบแบบตาต่อตา รวมทั้งบรรดาปลาฉลามหัวค้อน ที่แหวกว่ายอย่างเสรีอยู่ในท้องทะเล













Pinta Island Tortoise / Lonesome George หรือ
จอร์จผู้โดดเดี่ยว


ลักษณะพิเศษของจอร์จ คือช่วงลำคอที่ยาวมาก เพราะกระดองที่คล้ายกับอานม้า ทำให้จอร์จสามารถยืดคอได้ยาวกว่าเต่ากาลาปากอสทั่วไป และจอร์จมีขนาดเล็กกว่าเต่ากาลาปากอสสายพันธุ์อื่น
จอร์จอายุราวๆ 60 - 90 ปีแล้ว น้ำหนักประมาณ 90 กิโลกรัม ความกว้างของกระดองอยู่ที่ 102 เซ็นติเมตร

อีกัวนาสีชมพู (Pink iguana)
สัตว์เลื้อยคลานที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในกาลาปากอส และแยกสายวิวัฒนาการออกมาจากอีกัวนาชนิดอื่นๆ ตั้งแต่เมื่อ 5 ล้านปีที่แล้ว ซึ่งเป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่หมู่เกาะกาลาปากอสเพิ่งเริ่มเกิดขึ้น
อีกัวนาสีชมพูถูกพบครั้งแรกเมื่อปี 2529 บริเวณใกล้กับเนินภูเขาไปวูลฟ์ (Volcano Wolf) บนเกาะอิสซาเบลลา (Isabela) ซึ่งเป็นหนึ่งในหมู่เกาะกาลาปากอสที่มีกว่าร้อยเกาะ














บทความที่เขียน  หมู่เกาะกาลาปากอสดินแดนที่น่าพิศวง
อ้างอิงจาก
www.oknation.net
www.divediscover.whoi.edu
www.thaivetcentral.com
www.zheza.com/index.php?a=blog&b=entry&uid=432406&eid=63
www.tttonline.net/TTT2/hotzone/webboard_view.php?forum=10368

แหล่งท่องเที่ยวสำคัญในอียิปต์

มหาพีระมิดแห่งกีซ่า
พีระมิดเป็นสิ่งก่อสร้างรูปกรวยเหลี่ยมสำหรับเป็นที่เก็บศพ กษัตริย์อียิปต์โบราณ ในอียิปต์มีอยู่ 70 แห่งด้วยกัน แต่ปิรามิด 3 แห่งที่อยู่เมืองกีซ่า คือ หลุมฝังศพของพระเจ้าฟาโรห์คีออพส์(พระเจ้าคูฟู) คีเฟรน และ
ไมซีรีนัส เป็นปิรามิดที่ใหญ่ที่สุดสันนิษฐานว่าปิรามิดนี้ สร้างขึ้นมาตั้งแต่ 4600 ปีมาแล้ว นับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคเก่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและยังคงตั้งตระหง่านอยู่เพียงแห่งเดียวในโลก ใช้เวลาสร้าง 10 ปี


พีระมิดที่ยิ่งใหญ่ทั้งสามอันแห่งเมืองกีซ่านี้ ที่ใหญ่ที่สุดคือปิรามิดของพระเจ้าฟาโรห์คีออพส์ เรียกว่า มหาปิรามิด
ฐานของพีระมิดแห่งนี้มีความกว้างถึง 5770,000 ตาราง 768 ฟุต บริเวณฐานปิรามิด 4 ด้านนั้น มีความกว้างยาวเท่ากัน คือ 755 ฟุต หรือ 230.12 เมตร จะแตกต่างกันมากน้อยแค่ 8 นิ้ว


ตัวมหาพีระมิดนี้สูงประมาณ 432 ฟุตประมาณได้ว่ามีหินก้อนมหึมาถึง 2,300,000 ก้อน หนักกว่า 6,000,000 ตัน แต่ละก้อนหนักถึง 2.5 ตัน บางก้อนหนักถึง 16 ตัน กว้างยาวประมาณ 3 ฟุต หรือ 1 เมตร


ใจกลางพีระมิดมีห้องเก็บพระศพของพระเจ้าคีออพส์ข้างในทำจากหินแกรนิต กว้าง 34 ฟุต ยาว 17 ฟุต และสูง 19 ฟุต หีบพระศพของพระเจ้าคีออพส์ทำด้วยหินแกรนิตตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของห้องปิรามิดของพระเจ้าคีออพส์ ล้อมรอบด้วยหลุมศพ และพีระมิดเล็ก ๆ อีก 3 แห่ง ซึ่งเป็นของสมาชิกในราชวงศ์และในราชสำนักชั้นสูง
สันนิษฐานว่าผู้สร้างพีระมิดนี้ อาศัยดวงดาวเป็นหลัก นอกจากความใหญ่โตอันน่ามหัศจรรย์ของพีระมิดแล้ว การก่อสร้างให้สำเร็จยัง น่ามหัศจรรย์ยิ่งกว่าหลายเท่าถ้าทราบว่าหินเหล่านี้ต้องสกัดมาจากภูเขาที่อยูไกล แล้วลากมาสู่ฝั่งแม่น้ำไนล์ล่องลงมาเป็นระยะทางนับร้อยไมล์ จึงมาถึงจุดใกล้ที่ก่อสร้าง แล้วชักลากผ่านทะเลทรายไปถึงที่ก่อส้างต้องแต่งสลักเป็นแท่งสี่เหลี่ยม แล้วยก วางซ้อนขึ้นไปจนถึง 432 ฟุต


มหาวิหารอาบูซิมเบล
วิหารอาบูซิมเบล ( Abu Simbel Temple ) เป็นผลงานของฟาโรห์รามเสสที่ 2 ( Ramesess II ) ในราชวงศ์ที่ 19 มีอายุนับถึงปัจจุบันกว่า 3,299 ปี ( 1290-1224 B.C. ) ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลสาบนาสเซอร์ทางตอนใต้สุดของประเทศ ติดชายแดนประเทศซูดาน
ทางเข้าสู่วิหารอาบูซิมเบลปูด้วยอิฐบล็อกเป็นระเบียบ เส้นทางเลียบทะเลสาบ และมีท่าเรือเทียบหน้าวิหารพอดี เป็นสถาปัตยกรรมของฟาโรห์ผู้ยิ่งใหญ่หลังจากเว้นว่างจากศึกสงครามปกป้องประเทศแล้ว การสร้างเทวสถานเพื่อสักการะและบูชาเทพเจ้าให้มากที่สุด และสร้างสุสานให้กับตัวเองไปพร้อม ๆ กันด้วย และดูเหมือนว่าฟาโรห์รามเสสที่ 2 ( Ramesess II ) ทรงมีปรีชาสามารถทั้งการรบและสร้างเทวสถานทำนุบำรุงมากกว่าฟาโรห์องค์ใด ๆ พระองค์จึงทรงได้รับการขนานนามต่อท้ายว่า “มหาราช ”
มหาวิหารแห่งฟาโรห์รามเสสที่ 2 เดิมก่อสร้างโดยเจาะภูเขาหินทรายลึกเข้าไป ด้านหน้ามีขนาดความกว้าง 35 เมตร เหมือนหน้าผา สูง 30 เมตรมีรูปสลักประทับนั่งของฟาโรห์รามเสสที่ 2 เองถึง 4 รูปเพื่อเฝ้าด้านหน้าวิหารแห่งนี้ มีความสูงถึง 20 เมตร รูปสลัก 2 องค์ จากซ้ายส่วนหัวแตกหักหล่นลงอยู่เบื้องล่าง และรูปสลักฟาโรห์ทั้ง 4 จะปรากฏรูปสลักเล็ก ๆ เป็นผู้หญิงยืนระหว่างขาของรูปคือ รูปสลักของพระมารดา มเหสี โอรสและธิดาของฟาโรห์ อันมีความหมายว่า พระองค์คือผู้ปกป้องนั่นเอง
เหนือประตูทางเข้าวิหารคือ รูปสลักเทพเจ้ารา –ฮอรัคตี้ ประทับยืนโผล่ออกมาจากช่องเหนือประตูหน้าวิหาร ด้านข้างคือภาพแกะสลักร่องลึกรูปของฟาโรห์รามเสสที่ 2 ทั้งสองด้านกำลังบูชา โดยในมือยื่นถวายเทวีมาอัต ( Maat ) แด่เทพเจ้ารา – ฮอรัคตี้


ห้องโถงแรกภายในวิหารเรียกว่า ( Great Pillared Hall) จุดเด่นอยู่ที่เสาทั้ง 8 ต้นถูกประดับด้วยรูปสลักของรามเสสที่ 2 เองโดยทรงเครื่องแบบเทพโอซิริส ช่วยยืนค้ำภายในวิหาร เป็นสไตล์คล้ายศิลปะกรีก ที่นิยมนำรูปปั้นคนมาตกแต่งหัวเสา แต่เป็นภายนอกอาคาร
ผนังภายในวิหารถูกแกะสลักร่องลึกลงสีรูปเรื่องราวต่าง ๆ พร้อมคาร์ทูชอธิบายเหตุการณ์มากมาย ภาพส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับภารกิจด้านสงครามของรามเสสที่ 2 เป็นภาพที่สำคัญยิ่งที่พระองค์ได้รับชัยชนะราวปาฏิหาริย์ เพราะพระองค์ได้รับพรและความช่วยเหลือจากเทพเจ้าอะมอนรา คือครั้งการสู้รบกับพวกฮิตไทต์ (Hittites) ที่เมืองคาเดช ( Kadesh ) ในปี 1300 B.C.

มหาวิหารคาร์นัค

มหาวิหารคาร์นัค (Great Temple of Karnak) เป็นมหาวิหารที่ใหญ่ที่สุดและสวยงามที่สุดของอียิปต์ เรื่องราวและร่องรอยแห่งอารยธรรมที่แท้จริงของอียิปต์โบราณทั้งทางด้านศิลปะและวัฒธรรมของคนในยุคนั้นได้บ่งบอกไว้ในซากปรักหักพังของมหาวิหารคาร์นัคอันยิ่งใหญ่และกว้างใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้เอง
มหาวิหารคาร์นัคอยู่ห่างจากศูนย์กลางตัวเมืองคือ ตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือของวิหารลักซอร์ประมาณ 2.6 กิโลเมตร สร้างขึ้นเพื่อถวายแด่เทพเจ้าอะมอนราเช่นเดียวกันกับวิหารลักซอร์และเพื่อเป็นสถานที่จัดพิธีกรรมเกี่ยวกับความเชื่อของอียิปต์โบราณ ดังนั้นวิหารทั้งสองจึงมีความเกี่ยวพันกันเกี่ยวกับการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ในอดีตจึงมีเส้นทางถนนเชื่อมต่อถึงกันและสองข้างทางเข้าสู่กำแพงชั้นที่ 1 จะถูกประดับด้วยตัวสฟิงซ์ (Sphinx) นั่งหมอบเรียงรายตลอดความยาว 2.6 กิโลเมตรอย่างอลังการ
มหาวิหารคาร์นัคสร้างโดยฟาโรห์เซซอสตริสที่ 1 ( SeSostris I ) กษัตริย์องค์ที่ 2 แห่งราชวงศ์ที่ 12 ( 1991 B.C. ) อันปรากฏหลักฐานเก่าแก่ที่สุดอยู่ในหมู่วิหารของเทพอะมอนรา คือห้องบูชาเทพอะมอนรา และห้องแท่นบูชาเรือศักดิ์สิทธิ์ของเทพอะมอน ( Sacred Barque Sancutary และ Central Court of Amon ) อยู่ด้านหลังกำแพงชั้นที่ 6 มีอายุมากที่สุด นับรวมอายุถึงปัจจุบันร่วม 4,000 ปี


อ้างอิง
Nawanit Saisawat
จากhttp://wonder7.4t.com/project/pyramid.html
ผู้เขียน – Xzodic
เรียบเรียง – lilypixel

จากhttp://iyakoop.exteen.com/20081210/abu-simbel-temple
ผู้เขียนบทความ -- คุณ xzodic
ผู้เสริมข้อมูล -- คุณ Imseti , detectiveoat13

 http://www.pantown.com/board.php?id=36953&area=3&name=board5&topic=19&action=view
จาก http://iyakoop.exteen.com/20081209/great-temple-of-karnak